หมึกสายวงน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สารพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้น เรียกว่าเตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) เป็นพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า ออกฤทธิ์ ต่อระบบประสาท โดยจะเข้าไปขัดขวางการสั่งงานของสมอง คนที่ถูกพิษจะมีอาการคล้ายเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทํางาน ทําให้ไม่สามารถนําอากาศเข้าสู่ปอดได้ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต และในวันนี้เราจะพามารู้จักกับ หมึกบลูริงที่ขาว่ากันว่ามีพิษแรงกว่างูเห่า 20 เท่า พร้อมบอกวิธีสังเกตุที่ทุกท่านนำไปใช้ได้จริง
Blue Moon คือ ? ทำความรู้จัก พระจันทร์สีน้ำเงิน ที่ไมได้หมายถึงสีน้ำเงินจริง ๆ
หมึกบลูริง พิษแรงกว่างูเห่า 20 เท่าจริงหรือหลอก
- หมึกบลูริง พิษร้ายแรงมากกว่างูเห่า 20 เท่า
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ย. 2562 นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า จากกรณีที่มีชาวประมงจับ หมึกสายวงน้ำเงิน ได้ที่จังหวัดชุมพร พบว่าหมึกชนิดนี้มีพิษร้ายแรง ยิ่งตอนป้องกันตัวเมื่อมีภัยคุกคาม จะปรากฏวงกลมสีน้ำเงินที่มองเห็นชัดมาก โดยหมึกทะเลชนิดนี้เป็นจำพวกหมึกยักษ์ขนาดเล็ก หากเจอต้องระวังให้มาก เพราะมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่า 20 เท่า ผู้ถูกกัดอาจจะตายภายในเวลารวดเร็ว
- พิษร้าย “เตโตรโดท็อกซิน” อยู่ที่น้ำลายหมึก
หมึกบลูริงมีสารพิษที่มีความร้ายแรงมากผสมอยู่ในน้ำลาย ผู้ที่ถูกหมึกกัดอาจตายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นสัตว์น้ําที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สารพิษของหมึกสายวงน้ําเงินนั้น เรียกว่า เตโตรโดท็อก ซิน (Tetrodotoxin) ทั้งนี้เตโตรโดท็อกซินไม่ได้ถูกสร้างจากภายในตัวของหมึก แต่ถูกสร้างจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่อาศัยอยู่กับตัวหมึกบลูริงแบบพึ่งพา (symbiosis)
- พิษรุนแรงกว่าไซยาไนด์ 1,200 เท่า
พิษของหมึกบลูริงที่ชื่อว่า เตโตรโดท็อกซิน นั้น เป็นพิษที่มีผลต่อระบบประสาท โดยปริมาณพิษที่มนุษย์รับประทานแล้วเสียชีวิตคือประมาณ 1 มิลลิกรัม ซึ่งมีความรุนแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า
- พิษหมึกบลูริง ทนความร้อนได้ถึง 200 °C
อีกทั้ง พิษจากหมึกบลูริงยังทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงไม่สามารถทำลายพิษได้ด้วยการใช้ความร้อนปกติในการปรุงอาหาร และปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษใดๆ ต่อต้านได้
- หากโดนพิษ มีความเสี่ยงเสียชีวิต 50% – 60%
ผู้ป่วยที่ได้รับพิษเตโตรโดท็อกซิน มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตรอดหลังได้รับพิษแล้ว 24 ชั่วโมง พบว่ามีอัตราการรอดชีวิตสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ พิษที่เกิดจากหมึกสายวงน้ำเงิน จะเกิดอย่างรวดเร็วภายใน 5 นาทีหลังถูกกัด
มีวิธีสังเกตุหมึกบลูริงง่าย ๆ
- “หมึกบลูริง” เป็นหมึกยักษ์ที่ตัวเล็กแค่ 4 เซนติเมตร
“หมึกสายวงน้ําเงิน” หรือ “หมึกบลูริง” (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จําพวกหนึ่ง แต่มีขนาดเล็กมาก โดยตัวเต็มวัยมีขนาดลําตัวเพียง 4-5 เซนติเมตร มี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร หลังจากเพศเมียวางไข่ ไข่จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนเจริญเป็นตัวเต็มวัย โดยมีอายุขัยประมาณ 1 ปี
- จุดเด่นคือวงกลม “สีน้ำเงิน” ทั่วตัว
หมึกบลูริงมีจุดเด่นที่ต่างจากหมึกทั่วไปตรงที่ มีลวดลายเป็นวงแหวนสีน้ําเงิน กระจายตามลําตัวและหนวด ซึ่งจะตัดกับสีของลําตัวที่ออกเป็นสีเหลืองน้ำตาลอย่างชัดเจน วงแหวนสีน้ำเงินเหล่านี้สามารถ “เรืองแสง” ได้เมื่อถูกคุกคาม เนื่องจากหมึกชนิดนี้มีสีสวยงาม และมีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงปลาสวยงาม และสัตว์แปลกๆ ในต่างประเทศ
- หมึกบลูริงในไทยมีกี่สายพันธุ์?
ปัจจุบันทั่วโลกพบว่ามีหมึกบลูริงทั้งหมดประมาณ 4 ชนิด สําหรับในประเทศไทยมีรายงานการพบหมึกสายวงน้ําเงิน สกุล Hapalochlaena maculosa ในบริเวณน่านน้ำไทย ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย
อาการเมื่อโดนพิษหมึกบลูริง และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- อาการเมื่อโดนพิษหมึกบลูริง
เริ่มจากการ “ชา” บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ต่อมาจะชาบริเวณใบหน้า แขน ขา และเป็นตะคริวในที่สุด ต่อมาอาจมีอาการน้ำลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการท้องเสียร่วมกับปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มทำงานผิดปกติ และเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในผู้ป่วยที่ได้รับพิษปริมาณมาก พิษจะเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทงาน จึงไม่สามารถนําอากาศเข้าสู่ปอดได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมง แต่บางเคสมีรายงานพบว่าเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพียง 20 นาทีเท่านั้น
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ต้องหาวิธีนําอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก ฯลฯ จากนั้นต้องรีบนําส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าการช่วยชีวิตเป็นผล ผู้ป่วยจะฟื้นเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะขาดอากาศนานเกินไปจนทำให้ “สมองตาย”
สรุป หมึกบลูริง มีตัวเต็มวัยมีขนาดลําตัวเพียง 4-5 เซนติเมตร มี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร และหมึกบลูริงมีจุดเด่นที่ต่างจากหมึกทั่วไปตรงที่ มีลวดลายเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน กระจายตามลําตัวและหนวด โดยหมึกบลูริงมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่า 20 เท่า และพิษยังทนความร้อนได้ถึง 200 °C ได้อกด้วย
ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia