มาแล้ว สำหรับภาพยนต์เรื่อง Killers of the Flower Moon ภาพยนตร์ฆาตกรรมลึกลับในยุค 1920 โดยเนื้อเรื่องภาพยนต์มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง 26 นาที ซึ่งเหล่าแฟน ๆ ของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็เฝ้ารอคอยที่จะได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้ เนื่องจาก ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ได้เ็นนักแสดงนำในภาพยนต์เรื่องนี้ รับบทเป็น เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต โดยเนื้อเรื่องของภาพยนต์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงจากเรื่องจริงในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักที่ต้องพบเจอกับการทรยศ หักหลัง ในขณะที่เกิดเหตุการณ์คดีฆาตกรรม โดยภาพยนต์เรื่องนี้ กำกับโดยผู้กำกับมากฝีมืออย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี และมีกำหนดฉายในวันที่ 19 ตุลาคม 2023 ซึ่งทุกท่านสามารถรับชมได้ที่โรงภาพยนต์
A Good Day To Be A Dog เรื่องย่อ ซีรีส์เกาหลี โรแมนติกแฟตตาซี ที่มีน้องหมา
Killers of the Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน รีวิว
- เรื่องย่อ
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคปี 1920s เมื่อน้ำมันถูกค้นพบที่รัฐโอคลาโฮมา ในพื้นที่ของชาวพื้นเมืองโอเซจ ทำการพวกเขาเริ่มถูกแทรกซึมจากคนผิวขาวที่เข้ามาตั้งรกรากและฉาบฉวยในการสร้างธุรกิจ ก่อนจะนำมาสู่เหตุโศกนาฏกรรมต่อเนื่องที่ชาวโอเซจจึงถูกฆาตกรรมไปทีละคน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนกลางเข้ามาไขปริศนาดังกล่าว ทุกอย่างจึงกลายเป็นมหรสพโรงใหญ่
- จุดไฮไลต์ที่โดดเด่นจุด ๆ ของหนังเรื่องนี้
ก็คงจะหนีไม่พ้นกับขยายความยาวของหนังที่ยาวถึง 3 ชั่วโมง 20 นาทีเศษ ๆ นับว่าเป็นหนังอีกเรื่องในประวัติศาสตร์วงการหนังฮอลลิวูดที่สร้างออกมาได้ยาวเฟื้อยขนาดนี้ แต่ถึงแม้ว่าหนังจะยาวมาก ๆ เท่านี้ แต่ก็ยังสามารถฉุดรั้งคนดูเอาไว้ในตราตรึงใจกับภาพบนจอได้อย่างอยู่หมัด กลายเป็น 3 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ที่เต็มไปด้วยอรรถรสที่อร่อย
โดยKillers of the Flower Moon ได้ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายชื่ดังของ “เดวิด แกรนน์” ที่ตีพิมพ์ในปี 2017 ซึ่งในครั้งนี้ได้นักเขียนฝีมือระดับรางวัล “อิไล ร็อธ” มาช่วยเขียนบทให้ ร่วมกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ร่วมช่วยปลุกปั้นบทหนังเรื่องนี้ออกมาได้อย่างมีมนต์ขลังอย่างน่าทึ่ง ต้นฉบับนิยายของหนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาความยาวกว่า 350 หน้า ก็ไม่น่าประหลาดใจสักเท่าไหร่นักที่พอมาขึ้นจอใหญ่จะกินเวลายาวนานเท่านี้
แน่นอนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี ก็ยังคงละเลงแต่งแต้มผลงานของเขาด้วยลีลาอันเป็นสไตล์แบบผู้กำกับชั้นครู ที่มาพร้อมกับงานสร้างที่ค่อนข้างละเอียดและบรรจงในทุก ๆ นาทีที่ถ่ายทอดออกมา หากว่ากันถึงโครงเรื่องนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าKillers of the Flower Moon ค่อนข้างกลั่นกรองเรื่องราวออกมาได้เพลินและจับใจได้ดีตลอดทั้งเรื่อง
ตัวหนังสามารถเก็บรายละเอียดในช่วงยุคนั้น ๆ อันเป็นฉากหลังออกมาได้ค่อนข้างลึกซึ้ง อาจจะไม่ได้พาคนดูดำดิ่งลงลึกอะไรขนาดนั้น แต่หนังก็เก็บเกี่ยวและสดุดีความเป็นอินเดียนแดง ชนพื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือออกได้ด้วยความเคารพจากสัตย์จริง กลายเป็นหนังที่ยาวกว่า 200 นาทีที่เปิดให้ดูได้เรื่อย ๆ แบบไม่ลุกไปไหนก็สามารถทำได้เช่นกัน
- ด้านงานกำกับองค์ประกอบต่าง ๆ
ทำออกมาได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ องค์ประกอบฉากและองค์ประกอบศิลป์ต่าง ๆ ถือว่าใส่ใจในรายละเอียดแบบเนี้ยบสุด ๆ สมกับเป็นงานสร้างระดับตำนานจริง ๆ ขณะที่มุมภาพและมุมกล้องก็ยังทิ้งลีลาความเป็นลุงมาร์ตี้เอาไว้ให้เห็นเป็นระยะ ๆ ซึ่งเมื่อออกมาในภาพรวมก็คือเสน่ห์ในแบบที่ควรเป็นของหนัง มาร์ติน สกอร์เซซี นั่นเอง
จะว่าไปแค่มานั่งดูลีลาการแสดงของทีมนักแสดงชุดนี้ก็คุ้มแล้วจริง ๆ นะ ลีโอนาร์โด ดีคาปริโอ ก็ถือโฟลว์ไปกับบทบาทนี้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก การแสดงของเขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรมาก การตีความและถ่ายทอดบทนี้ของเขาทำให้คนดูเชื่อสนิทว่าเขาเป็นตัวละครนั้น ๆ ตั้งแต่นาทีแรกที่ปรากฏตัว และความเป็นมืออาชีพของเขาก็ยังช่วยประคองหนังเอาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่องจริง ๆ
ส่วนตัวจี๊ดและตัวปั่นของเรื่องนี้ก็คือ โรเบิร์ต เดอ นีโร นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่น่าสนใจอีกครั้งของเขาในอาชีพนักแสดงช่วงวัยชรา ถือว่าคาแรกเตอร์นี้ส่งเสริมให้กับเขาเป็นอย่างมาก ตัวละครเต็มไปด้วยมิติและด้านที่หลากหลาย เป็นสิ่งที่คนดูทั้งรักทั้งชังไปพร้อม ๆ กัน และนักแสดงระดับชั้นครูผู้นี้ก็ทำออกมาได้โฟลว์เช่นเดียวกัน
สรุป คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน ได้กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับตำนานของทีมผู้สร้างและทีมนักแสดงชุดนี้ หนังเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่แสนหดหู่ออกมาในรูปแบบมหรสพเชิงอาชญากรรมที่ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกจดจ่ออยู่ความตึงเครียดเกินไป มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความดรามากับรสชาติของความตลกร้ายที่ใส่เข้ามาได้แบบพอดีเป๊ะ
ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia