คาเซมิโร่ สุดยอดกองกลางตัวรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจแฟนบอล ถือเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่เก่งที่สุดของโลกฟุตบอลอีกด้วย เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ผ่านอะไรมาหลายอย่างกว่าที่จะประสบความสำเร็จได้ และในวันนี้เรามาเปิด ประวัติ คาเซมิโร่ ที่ “ปีศาจแดง” ต้องคว้าตังถึงค่าตัวรวม 70 ล้านปอนด์ เพื่อดึงมาร่วมทีม โดยที่เส้นทางของต้นคาเซมิโร่เริ่มต้นเป็นจากระบบพัฒนาเยาวชนของ เซา เปาโล สโมสรดังของบราซิล โดยเขาแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้นำตั้งแต่ยังเด็กด้วย เพราะเขาเคยเป็นกัปตันทีมของชุดเยาวชนในตอนที่อายุแค่ 11 ปีเท่านั้น หลังนี้คาเซมิโร่จะเป็นอย่างไงต่อไปดูพร้อมกันได้เลย
ประวัติ นิวคาสเซิล จากทีมบ๊วย สู่ทีมระดับท็อป อะไรคือปัจจัยความสำเร็จ ?
ประวัติ คาเซมิโร่ บนเส้นทางลูกหนัง
หากพูดถึง ประวัติ คาเซมิโร่ ต้องเริ่มในวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2010 คือวันที่ คาเซมิโร่ ได้ลงเล่นในเกม ซีรี่ เอ หรือเกมลีกสูงสุดของบราซิลเป็นนัดแรก แต่มันไม่น่าจดจำเท่าไหร่นักเพราะ เซา เปาโล แพ้ ซานโตส ขณะที่วันที่ 15 สิงหาคมของปีเดียวกัน เขาทำประตูในเกมระดับทีมชุดใหญ่ ได้เป็นครั้งแรกในเกมที่ เซา เปาโล เสมอกับ ครูเซยโร่ 2-2
ผลงานโดยรวมของ คาเซมิโร่ กับ เซา เปาโล โดดเด่นมาก ๆ จนไปเข้าตาแมวมองของ เรอัล มาดริด ซึ่งทาง “ราชันชุดขาว” ไม่ได้ตัดสินใจซื้อเขาในทันที โดยใช้วิธียืมตัวมาเล่นกับทีมชุดสำรองก่อนในช่วงเดือนมกราคม 2013 แล้วให้เขาได้ลง เล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 20 เมษายนของปีเดียวกันในเกมที่ชนะ เรอัล เบติส 3-1 และสุดท้าย มาดริด ตัดสินใจซื้อขาดในช่วงเดือนมิถุนายน 2013 โดยในฤดูกาล 2013-14 เขาได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ มาดริด ไปทั้งหมด 25 นัด ทุกรายการ
ช่วงซัมเมอร์ของปี 2014 มาดริด ตัดสินใจปล่อย คาเซมิโร่ ให้ เอฟซี ปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่โปรตุเกสยืมตัวใช้งาน 1 ฤดูกาลซึ่งเขาเป็นแกนหลักของที่นั่นด้วยการได้ลงเล่นไปถึง 41 นัดในทุกรายการ พร้อมกับทำได้ 4 ประตู โดยหนึ่งในนั้นคือลูก ฟรีคิกที่ทำให้ทีมชนะ เอฟซี บาเซิ่ล 4-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง
ช่วงซัมเมอร์ 2021 มาดริด ตัดสินใจขยายสัญญาของ คาเซมิโร่ ไปจนถึงปี 2025 จนทำให้มันดูเหมือนกับว่าเขาจะยังเล่นให้ทีมต่อไปอีกนาน แถมในวันที่ 10 สิงหาคม ปี 2022 เขายังเล่นได้ดีในเกม ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ นัดที่ มาดริด ชนะ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 2-0 จนทำให้ได้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แทบไม่มีใครคิดว่านั่นจะเป็นถ้วยสุดท้ายที่เขาคว้ามาครองกับเรอัล มาดริด เพราะเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม เขาย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวรวม 70 ล้านปอนด์ แม้ว่าสภาพของ “ปีศาจแดง” จะดูไม่ดีเท่าไหร่ก็ตาม ซึ่ง หลังจากต้องเป็นตัวสำรองในช่วงแรกๆ คาเซมิโร่ ก็ยึดตำแหน่งตัวจริงได้และทำประตูแรกกับทีมได้ในเกมลีกนัดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ เชลซี 1-1
ผลงานบนเส้นทางลูกหนังของคาเซมิโร่
เซา เปาโล
- โคปา ซูดาเมริคาน่า : 2012
เรอัล มาดริด
- ลา ลีกา : 2016-17, 2019-20, 2021-22
- โกปา เดล เรย์ : 2013-14
- สแปนิช ซูเปอร์ คัพ : 2017, 2019-20, 2021-22
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2013-14, 2015-16, 2016-17, 2017-18, 2021-22
- ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ : 2016, 2017, 2022
- ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ : 2016, 2017, 2018
ทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่กิน 17 ปี
- ศึกชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ : 2009
- ทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
ฟุตบอลโลก : 2011
- ศึกชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ : 2011
ทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่
- โคปา อเมริกา 2019
สรุป คาเซมิโร่ เป็นหนึ่งในคนที่ผ่านอะไรมาหลายอย่างกว่าที่จะประสบความสำเร็จได้บนเส้นทางที่เขาเลือก จากระบบพัฒนาเยาวชนของ เซา เปาโล สโมสรดังของบราซิล สู่นักเตะกองกลางตัวรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่า 70 ล้านปอนด์ ที่ทำผลงานได้อย่างดีให้กับสโมสรแมนยู และแฟนแฟน “ปีศาจแดง” ก็ต่างรักและชื่นชมคาเซมิโร่เป็นอย่างมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก : wikipedia