ประวัติประเทศญี่ปุ่น
ถ้าหากเราถามคนไทยถึงประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุด ใน 100 คน แน่นอนว่ายังไงประเทศญี่ปุ่นก็ต้องติด 1 ใน 3 ประเทศที่คนไทยอยากไปท่องเที่ยวกันมากที่สุดอย่างแน่นอน ด้วยบรรยากาศและภาพลักษณ์ที่ดูดีของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่ครบครัน

ไม่ว่าจะไปจังหวัดไหนของญี่ปุ่นก็มีของขึ้นชื่อที่น่าซื้อกลับไปฝากคนรู้จักกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าครบครันทุกอย่างจริง ๆ อีกทั้งคนในประเทศยังยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างมาก บ้านเมืองมีความปลอดภัยค่อนข้างมาก

จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ที่คนไทยจะนึกถึงเวลาจะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนไทยถึงเรียกประเทศนี้ว่าญี่ปุ่น ทั้งที่ชื่อจริงของประเทศนี้คือ Japan หรือ เจแปน บทความนี้มีคำตอบ พร้อมทั้งจะมาเล่า ประวัติประเทศญี่ปุ่น กันด้วย

วิธีบูชาพระแม่กาลี ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ทำให้ชีวิตมีความสุข 

ประวัติประเทศญี่ปุ่น มาลองทำความเข้าใจว่าทำไมคำว่า “ญี่ปุ่น”คนไทยถึงเรียกแบบนี้

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์และประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรารู้ดีว่าคนไทยเรียกประเทศนี้ว่า ‘ญี่ปุ่น’ แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมต้องใช้คำนี้ เพราะเรารู้มาว่า คนญี่ปุ่นเรียกประเทศของพวกเขาว่า ‘นิปปง’ (Nippon) หรือ ‘นิฮง’ (Nihon) รวมถึงในภาษาอังกฤษก็เรียกญี่ปุ่นว่า ‘เจแปน’ (Japan) แล้วคำเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับญี่ปุ่นของคนไทยหรือเปล่า

เราต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ในเอกสารของจีนได้ปรากฏคำที่ใช้เรียกญี่ปุ่นว่า ‘วอ’ (倭) หรือญี่ปุ่นอ่านว่า ‘วะ’ ที่มีความหมายว่า เตี้ยแคระหรือยอมจำนน โดยใช้เรียกผู้คนบนเกาะคิวชูและภูมิภาคคันโตของเกาะฮนชู ซึ่งตรงกับยุคยาโยอิ (Yayoi Period) ของญี่ปุ่น

การที่จีนใช้คำว่าวอหรือวะในการเรียกญี่ปุ่น อาจดูเหมือนเป็นการเหยียดหรือใช้ในเชิงลบ แต่นักวิชาการหลายคนก็มองว่า คำว่าวออาจจะมีความเก่าแก่กว่านั้น และไม่ได้มีความหมายเชิงลบในทีแรก อย่างไรก็ตามต่อมา ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนความหมายของคำว่าวอหรือวะที่ถูกจีนเรียก

โดยนำคำพ้องเสียงอย่างคำว่า ‘เหอ’ (和) ที่แปลว่าสงบสุขหรือสามัคคี แต่ญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่าวะเหมือนกัน มารวมกับคำว่า ‘ต้า’ (大) ที่แปลว่ายิ่งใหญ่ กลายเป็น 大和 หรือญี่ปุ่นอ่านว่า ‘ยามาโตะ’ ที่เป็นอีกหนึ่งชื่อของญี่ปุ่นในยุคโบราณเช่นกัน จนกระทั่งช่วงศตวรรษที่ 7 ในเอกสารของจีนยุคราชวงศ์ถัง

ได้ปรากฏชื่อเรียกใหม่ของญี่ปุ่นคือ ‘รื่อเปิ่น’ (日本) หรือที่ญี่ปุ่นอ่านว่า ‘นิปปง’ (Nippon) หรือ ‘นิฮง’ (Nihon) นั่นเอง คำคำนี้มีความหมายว่า ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์หรือดินแดนอาทิตย์อุทัย และเป็นชื่อที่ญี่ปุ่นเรียกตัวเองจนถึงทุกวันนี้

เหตุผลที่ญี่ปุ่นเรียกตัวเองว่านิปปงหรือนิฮง มาจากความผูกพันระหว่างชาวญี่ปุ่นกับดวงอาทิตย์ และยังเชื่อมโยงกับความเชื่อและตำนานปรัมปราของญี่ปุ่นที่ว่า ชาวญี่ปุ่นคือลูกหลานของอะมะเตราสุ (Amaterasu) เทพีแห่งดวงอาทิตย์ นอกจากนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่ญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจีน

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเรียกตัวเองว่านิปปงหรือนิฮง แต่คำว่าวะที่เคยเป็นชื่อเรียกของญี่ปุ่น ก็ยังคงปรากฏจนถึงปัจจุบัน อย่างเช่นคำว่า วาโชกุ (和食 washoku) ที่หมายถึงกรรมวิธีปรุงและรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น หรือจะเป็นเนื้อวากิว ( 和牛 wagyu) ที่แปลว่า วัวญี่ปุ่น แล้วจากนิปปงหรือนิฮง กลายเป็นญี่ปุ่นที่คนไทยเรียกได้อย่างไร

เรื่องนี้มีต้นตอจากรื่อเปิ่นที่คนจีนเรียก แต่เป็นการอ่านแบบจีนสำเนียงอื่นที่ไม่ใช่จีนกลาง อย่างเช่น จีนกวางตุ้งอ่านว่า ‘หยัดปุ๋น’ จีนฮกเกี้ยนอ่านว่า ‘หยิดปุ้น’ จีนแต้จิ๋วอ่านว่า ‘หยิกปุ้ง’ จีนแคะอ่านว่า ‘หงิดปุ้น’ รวมถึงจีนเซี่ยงไฮ้ที่อ่านว่า ‘เจปเปิ่น’

ส่วนอีกข้อสงสัยหนึ่ง ก็คือที่มาของคำว่า ‘เจแปน’ (Japan) ว่ากันว่าต้นตอของคำนี้ ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 14 ในบันทึกของมาร์โค โปโล (Marco Polo) นักเดินทางชาวเวนิสที่รับใช้ราชสำนักจีนยุคราชวงศ์หยวน

ได้เรียกญี่ปุ่นว่า ‘ชิปังกู’ (日本國 | Cipangu หรือ Zipangu) สันนิษฐานว่ามาจากภาษาจีนสำเนียงอู๋หรือไม่ก็สำเนียงหมิ่นใต้ รวมกับคำว่า ‘กั๋ว’ (國) ที่แปลว่าประเทศหรืออาณาจักร ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ในบันทึกของชาวโปรตุเกส ได้ปรากฏคำอย่างเช่น Jepang, Jipang, หรือ Jepun ที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสได้ยินมาจากชาวมลายูและชาวอินโดนีเซียอีกทอดนึง ส่วนภาษาอังกฤษปรากฏคำนี้ครั้งแรกในปลายศตวรรษที่ 16 แต่เขียนเป็นคำว่า Giapan ก่อนที่จะกลายเป็น Japan ในเวลาต่อมา

สรุป หวังว่า ประวัติประเทศญี่ปุ่น ในบทความนี้ที่เราได้นำมาฝากทุกท่าน จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และกำลังสงสัยกันว่าทำไมคนไทยถึงเรียกประเทศนี้ว่า ญี่ปุ่น กันนะ ถือว่าเป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อยที่เราได้นำมาแชร์กัน ก่อนจะจบบทความนี้ สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ลองเก็บประเทศญี่ปุ่นไว้เป็นตัวเลือกได้นะ เพราะถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลย


ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia

เป็นกำลังใจช่วยแชร์หน่อยค่ะ



ball