ชีวิตที่ต้องสู้ของนักเตะ ฟุตบอล “ Roberto Firmirno”
ฟุตบอล กับความเจ็บปวด ความยากจน อาชญากรรม เส้นทางจากมาเซโอสู่เมอร์ซีย์ไซด์ ความผิดหวังจากการล่าฝันสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งหล่อหลอมดาวเตะทีมชาติบราซิลขึ้นมา จากย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความเถื่อน
เขาเติบโตมาจากเมือง มาเซโอ เมืองหลวงที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐอาลาโกลัส ประเทศบราซิล ซึ่งเมืองมาเซโอนั้นต่างเต็มไปด้วยอาชญากรรม โจรชุกชุม ความยากจน แต่สิ่งเหล่านั้นทำให้เด็กชายชาวบราซิลแข็งแกร่งและไม่เดินผิดเส้นทางจากสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดนั่นก็คือ “ฟุตบอล”
เขามีจุดเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลของเขาก็เหมือนกับเด็กชาวบราซิลทั่วไปนั่นคือ การเตะฟุตบอลเล่นกับเพื่อนข้างถนนจนกระทั่งแต่ในช่วงวัยเด็ก คุณแม่ของเขาไม่ยอมให้ฟีร์มีโน่ออกจากบ้าน อันเนื่องมาจากบริเวณที่ครอบครัวเขาอยู่นั้น เต็มไปด้วยอาชญากรรม และเกิดการฆาตกรรมกันบ่อยครั้ง ทำให้คุณแม่ค่อนข้างจะเป็นห่วงและไม่ยอมให้เขาออกไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อน แต่เขาก็กระโดดปีนรั้วออกไปหนีเล่นเป็นประจำ
“ในช่วงวัยเด็กโรแบร์โต้เป็นที่มีนิสัยขี้อาย เงียบขรึม และคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอล เขามีสิ่งที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่นคือ เขามีความตั้งใจเรียนอย่างยิ่งในเวลาทีเรียน แต่เมื่อถึงเวลาที่เพื่อนๆชวนเตะฟุตบอลไม่ว่าสนามจะเละแค่ไหน เป็นปรักโคลนขนาดไหน เขาจะทิ้งทุกอย่างและรีบไปเล่นฟุตบอลทันที” อาเดรียน่า ไลเต้ คุณครูสมัยประถมของฟีร์มีโน่กล่าวถึงอดีตลูกศิษย์
ฟีร์มีโน่มีฝีเท้าที่โดดเด่นกว่าเพื่อนๆวัยเดียวกัน เขาเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลกับสโมสร ”คลับเดเลกาติส บราซิล” จนกระทั่งวันไปหนึ่งเขาได้เข้าไปทดสอบฝีเท้ากับ ฟิกัวเรนเซ่ ทีมดิวิชั่นสองของลีกบราซิลและได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรกเมื่อปี 2007 ในขณะที่ตัวเขามีอายุ 16 ปี ทำให้เขาต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไกลถึง 2000 ไมล์ จากครอบครัวมาใช้ชีวิตตัวคนเดียว
แต่นั่นก็ทำให้เขาแข็งแกร่งและตั้งใจโฟกัสกับการเล่นฟุตบอลเพื่อที่วันหนึ่งจะได้เติมเต็มความฝันของตัวเองคือ การติดทีมชาติบราซิลและทำให้ครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบาย หลังจากลงเล่นกับฟิกัวเรนเซ่ได้ปีเดียว เขาได้รับความสนใจจาก โอลิมปิก มาร์กเซย์ แต่ก็เหมือนโชคชะตาไม่เป็นใจ เขาติดปัญหาเรื่องเอกสารทำให้เขาไม่ได้เซ็นต์สัญญากับทีม นั่นทำให้โรแบร์โต้กับมามีสมาธิกับการช่วย”ฟิกัวเรนเซ่” ในลีกบ้านเกิด
ฟีร์มีโน่สามารถพา ฟิกัวเรนเซ่น คว้าแชมป์บราซิเลียน ซิเรียบี เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้ประเดิมลีกสุดของประเทศบ้านเกิด เนื่องจากสโมสรทั้ง อาร์เซน่อลและพีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น สนใจในตัวของเขา แต่กลับเป็นสโมสรอย่างฮอฟเฟ่นไฮม์ที่ยื่นข้อเสนอมูลค่า 4 ล้านยูโร(ประมาณ 142 ล้านบาท)คว้าตัวเขาไปร่วมทีมได้ในปี 2010
เขาใช้เวลา 3 ฤดูกาลในบุนเดสลีกาลงสนาม 153 นัดซัด 49 ประตู คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรไปครอง ทำให้เขาได้รับความสนใจจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูลและก็เป็นลิเวอร์พูลที่สามารถได้รายเซ็นต์ของดาวเตะทีมชาติบราซิลไปร่วมทีมด้วยสนนราคาค่าตัว 29 ล้านยูโร(ประมาณ 1034 ล้านบาท) ปาดหน้าทั้งสองยักษ์จากเมืองแมนเชสเตอร์ไปครอง ก่อนจะสามารถเข้าขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมและพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์และพรีเมียร์ลีกมาครอง รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติบราซิลในการคว้าแชมป์โคปา อเมริกาในปี 2019
“วันนี้ต่อให้เขาโด่งดังเป็นแข้งระดับท็อปของโลก แต่เขาไม่เคยลืมรากเหง้าตัวเอง เขามักจะบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กในชุมชนเมืองมาซิโอ บริจาคอาหารกลางวัน รวมถึงออกค่ารักษาให้กับครอบครัวที่มีประวัติเจ็บป่วย ทำให้เขาเป็นเหมือนวีรบุรุษของเมืองแห่งนี้ และต่อให้เมืองที่เขาเติบโตมาจากเมืองที่เต็มไปด้วยนักเลง กุ๊ยข้างถนน แต่เมืองนั้นคือบ้านเกิดของเขาและไม่เคยคิดจะลืมเลยว่าตัวเองเติบโตมากจากที่ไหน ดั่งคำกล่าวที่ว่า “คิดจะโบยบิน อย่าลืมดินที่เคยเดิน”
อ้างอิงจาก:
อ่านข่าวสารฟุตบอลเพิ่มเติมได้ที่