แฟรงก์ แลมพาร์ด แห่งสิงห์โตน้ำเงินคราม ฟุตบอล เชลซี ก่อตั้งสโมสรวันที่ 10 มีนาคม 1905 หรือเมื่อ 115 ปีที่แล้ว มีนักเตะหลายคนผ่านเข้ามาสร้างชื่อเสียง เกียรติประวัติ และร่วมกันขีดเขียนประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่หากจะพูดถึงนักเตะฟุตบอลคนใดคนหนึ่งที่เป็นเฉกเช่นสัญลักษณ์ของสโมสร เป็นตำนานของทีม
แฟรงก์ แลมพาร์ด ชื่อที่แฟนๆสิงห์บลูนึกถึงเป็นคนแรก
แฟรงก์ แลมพาร์ดลืมตาดูโลกในวันที่ 20 มิถุนายน ปี 1978 ที่ย่านรอมฟอร์ด ทางตะวันออกของลอนดอน เขาเริ่มเล่น ฟุตบอล ระดับเยาวชนกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในปี 1994
ก่อนที่จะโชว์ฟอร์มการเล่นได้ดีถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ในปีต่อมา เกมประเดิมสนามของเจ้าตัวภายใต้สีเสื้อขุนค้อนคือ วันที่ 31 มกราคม ปี 1996 พบกับโคเวนทรี
เขาถูกส่งลงไปเล่นในช่วงนาทีที่ 80 ก่อนที่จะสามารถเบิกสกอร์แรกของตัวเองในวันที่ 9 สิงหาคม ปี 1997 ในเกมที่พบกับบาร์นลียส์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่รับใช้สโมสร 173 นัด
ยิง 32 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์ ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์โตโต้คัพในปี 1999 มาครองได้
หลังเสร็จสิ้นฤดูกาล เวสต์แฮม ได้รับข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธมูลค่า 16 ล้านยูโร(ประมาณ) จากเชลซีในยุคที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร
และกำลังจะสร้างทีมขึ้นมาลุ้นแชมป์ ทำให้แฟรงก์ แลมพาร์ดต้องย้ายออกไปเล่นกับทีมคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอน แต่ที่เชลซีนั้น ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูริญโญ่ ในฤดูกาล 2004/05
เป็นส่วนสำคัญให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในรอบ 50 ปี พร้อมกับทำสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในเวลานั้นด้วย ก่อนที่ต่อมาจะพาเชลซีประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอล
ได้ในหลายรายการทั้ง เอฟเอคัพ 4 สมัย(2006 , 2008, 2009, 2011) ลีกคัพ 2 สมัย(2004,2006) คอมมูลนิตี้ชิลด์ 2 สมัย(2005 2009) ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ (2011/12)
ยูโรปาลีก (2012/13) โดยตลอดระยะเวลาการรับใช้ทีมยาวนาน 14 ปี ลงสนามให้ทีมรวมทุกรายการ 648 นัดยิงได้ 210 ประตูกับอีก 151 แอสซิสต์ ก่อนหมดสัญญากับทีม
หลังจากหมดสัญญากับทีม แลมพาร์ดตัดสินใจออกไปหาความท้าทายในช่วงท้ายอาชีพค้าแข้ง เขาเลือกย้ายไปร่วมทีม นิวยอร์ค ซิตี้ เอฟซี ทีมในเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์แบบไม่มีค่าตัว เซ็นสัญญากัน 3 ปี ซึ่งในฤดูกาล 2014/15 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมในเครือ ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป เหมือนกับนิวยอร์ค ทำดีลสุดช็อคแฟนเชลซียืมแลมพาร์ดมาใช้งาน 1 ฤดูกาล ก่อนที่ในฤดูกาลนั้นในวันที่ 21 กันยายน เจ้าตัวยิงตีเสมอให้ซิตี้แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจ เป็นซีนที่สะเทือนอารมณ์แฟนเชลซีเป็นอย่างมาก โดยในปีนั้นเจ้าตัวลงเล่นให้ซิตี้รวมทุกรายการ 38 นัดยิงได้ 8 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ ก่อนจะกลับมารับใช้ต้นสังกัดที่แท้จริง ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เล่นฟุตบอลกับนิวยอร์ค แลมพาร์ดลงสนามให้ต้นสังกัดทั้งสิ้น 31 นัดซัดไป 15 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดกับทีม
ในส่วนของทีมชาตินั้น เจ้าตัวลงรับใช้ทีมชาติอังกฤษทั้งหมด 106 นัดยิงได้ 29 ประตูกับอีก 12 พาทีมลงเล่นศึกใหญ่หลายรายการทั้ง ยูโร 2004 ฟุตบอลโลก 3 สมัย(2006-2014) โดยเกมประเดิมสนามของเขาคือ เกมกระชับมิตรพบกับทีมชาติเบลเยี่ยมในวันที่ 10 ตุลาคม ปี 1999 ลงสนามในนาที 76 ของการแข่งขัน
หลังเจ้าตัวแขวนสตั๊ดก็ได้มีโอกาสมาจับงานกุนซือ
โดยทีมฟุตบอลแรกที่ให้โอกาสแลมพาร์ดก็คือ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ ในฤดูกาล 2018/19 พาทีมลงเล่น 46 นัด เก็บชัยชนะได้ 20 นัดเสมอ 14 แพ้ไป 12 เก็บได้ 74 คะแนน จบในพื้นที่เพลย์ออฟเลื่อนชั้นได้ แต่ในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาแพ้ต่อ แอสตัน วิลลา 2-1 อดตีตั๋วเลื่อนสู่พรีเมียร์ลีก
หลังจากทำผลงานการคุมทีปีแรกได้ดี เชลซีในยุคที่กำลังเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ จากการโดนแบนจากตลาดซื้อขายในฤดูกาล 2019/20 ภายหลังที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ อำลาทีมไปคุมยูเวนตุส แลมพาร์ดจึงถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ และก็สามารถพาทีมจบอันดับที่ 3 ได้ในการคุมทีมปีแรก ซึ่งในฤดูกาลปัจจุบันเขาพาทีมลงสนาม 9 นัด ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 1 เก็บได้ 18 คะแนนพาทีมรั้งอันดับที่ 3 อยู่ในขณะนี้
อ้างอิง https://www.transfermarkt.com/frank-lampard/nationalmannschaft/spieler/3163
สามารถรับข่าวสารฟุตบอลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sccwiki.com/