เอช เอช โฮล์มส์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ เป็นหนึ่งในฆาตกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ด้วยการก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องที่น่ากลัวและซับซ้อนที่สุดในยุคของเขา โฮล์มส์ไม่เพียงแต่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเมืองชิคาโกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้าง “ปราสาทแห่งความตาย” (Murder Castle) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกับดักและห้องลับที่ใช้ในการฆาตกรรมเหยื่อของเขา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ประวัติ เอช เอช โฮล์มส์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการจับกุมที่สะเทือนขวัญโลก
เท็ด บันดี้ ประวัติ ฆาตกรต่อเนื่อง เจ้าของความโหดอันดับต้น ๆ ของโลกฆาตกรรม
ประวัติ เอช เอช โฮล์มส์ อาชญากรผู้ชั่วร้าย
เอช เอช โฮล์มส์ (H. H. Holmes) เป็นเรื่องราวที่ชวนขนลุกและน่าตกใจของชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา” เขามีชื่อจริงว่า เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ (Herman Webster Mudgett) เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1861 ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
โฮล์มส์มีบุคลิกที่ดูน่าเชื่อถือ เป็นคนฉลาด มีทักษะด้านการพูดและความรู้ทางการแพทย์ เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สาขาแพทยศาสตร์ แต่แทนที่จะใช้ความรู้ในทางที่ถูกต้อง เขากลับเลือกเส้นทางที่มืดมน โดยเริ่มจากการหลอกลวงทางการเงิน และพัฒนาสู่การก่อเหตุฆาตกรรมอย่างต่อเนื่อง
ปราสาทแห่งความตาย
จุดเด่นของ เอช เอช โฮล์มส์ ที่ทำให้เขาเป็นตำนานแห่งความสยองขวัญ คือการสร้างอาคารที่ถูกขนานนามว่า “Murder Castle” หรือ “ปราสาทแห่งความตาย” ที่ชิคาโก อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงงานแสดงสินค้าโลก (World’s Columbian Exposition) ปี 1893 และถูกออกแบบอย่างจงใจให้มีห้องลับ ซ่อนประตู ทางเดินลับ ห้องรมแก๊ส และหลุมศพลับ เพื่อใช้ในการก่อเหตุฆาตกรรมโดยเฉพาะ
มีรายงานว่าเหยื่อของโฮล์มส์อาจมีจำนวนมากถึง 20-200 คน แม้ว่าเขาจะสารภาพว่าฆ่าไป 27 คน แต่หลักฐานแน่ชัดสามารถยืนยันได้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น
การจับกุมและจุดจบ
โฮล์มส์ถูกจับในปี 1894 ด้วยข้อหาฉ้อโกงประกันภัย แต่ระหว่างการสอบสวน ตำรวจเริ่มขุดคุ้ยและพบหลักฐานที่เชื่อมโยงเขากับการฆาตกรรมหลายคดี เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1896 ที่ฟิลาเดลเฟีย
เอช เอช โฮล์มส์ เป็นตัวอย่างของอาชญากรที่ใช้สติปัญญาในทางที่ผิด จนกลายเป็นหนึ่งในฆาตกรที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องราวของเขายังคงถูกพูดถึงในวงการอาชญวิทยา วรรณกรรม และภาพยนตร์จนถึงทุกวันนี้
ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia