อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่
ถือว่าการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อสุดยอดนักเตะระดับตำนานของราชันชุดขาวเรอัล มาดริด อย่าง อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 88 ปี หลังจากเข้ารักษาอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันก่อน ณ โรงพยาบาล เกรกอริโอ มารานอน ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน

ซึ่งอัล เฟร โด ดิ สเต ฟาโน่ นักเตะระดับตำนานคนนี้ได้พาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1931-32 ก่อนป้องกันแชมป์ได้ในปีถัดมา ส่งผลให้เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ติดต่อกันสองสมัยได้บนลีกสูงสุดของสเปน ดังนั้น เรามาย้อนรอยยอดนักฟุตบอลระดับตำนานคนนี้กัน ชายผู้ปลุกยักษ์หลับ เรอัล มาดริด ให้กลับมาเฉิดฉาย

มาร์ติน ซูบิเมนดี้ ประวัติ กองกลางตัวรับเนื้อหอม ทีมชั้นนำต่างต้องการตัว 

อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ตำนานเรอัล มาดริด

อัล เฟรโด ดิ สเต ฟาโน่ (Alfredo di Stefano) เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1926 ที่ย่านบาร์รากัส เมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โดยมีบิดาเป็นชาวอิตาลีเชื้อสายอาร์เจนตินา และมีมารดาเป็นชาวอาร์เจนตินา เชื้อสายฝรั่งเศส – ไอริช พวกเขาอพยพมาอยู่อาร์เจนตินาเพื่อหนีปัญหาสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 1914-1918)

  • เครื่องจักรสังหารจากอเมริกาใต้

เมื่ออายุได้ 12 ปี ดิ สเตฟาโน่ มีโอกาสได้ร่วมเล่นกับทีมเยาวชนชื่อ ลอส การ์ดาเลส (Los Cardales) ทีมเยาวชนของริเวอร์เพลท ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกฝนความสามารถด้านฟุตบอลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เขาได้สัญญาอาชีพเป็นครั้งแรกกับริเวอร์เพลท ในช่วงปี 1945-1949 และเขาก็ระเบิดฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ลงเล่นไป 66 นัด ยิงประตูได้ถึง 49 ประตู ทั้งที่ยังเป็นเพียงนักเตะดาวรุ่งของทีมเท่านั้น

จากฟอร์มดังกล่าวทำให้ประธานของสโมสรฮูราคาน (Huracán) ทีมยักษ์ใหญ่ของลีกอาร์เจนตินาในเวลานั้น รู้สึกประทับใจศักยภาพของ ดิ สเตฟาโน่ จึงตัดสินใจยืมตัวเขามาร่วมทีมในฤดูกาล 1945-46 ซึ่งเขาลงช่วยทีมไป 25 นัด ซัดไป 10 ประตู

แต่ทีมที่ทำให้ ดิ สเตฟาโน่ เป็นที่รู้จักและโด่งดังคือสโมสรมิโยนาริโอส (Millonarios) ทีมดังจากลีกโคลอมเบียที่คว้าตัวเขามาร่วมทีมในช่วงปี 1949-1953 และเป็นช่วงเวลาที่ ดิ สเตฟาโน่ แสดงทักษะอันทรงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ เขาว่องไวจนผู้เล่นฝั่งตรงข้ามทำได้เพียงภาวนาเมื่อเห็นเขาได้บอล

  • การย้ายทีมเจ้าปัญหา

ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 1940s หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ ๆ วงการฟุตบอลในประเทศอาร์เจนตินากำลังเกิดปัญหา นักเตะประท้วงเรียกร้องค่าเหนื่อยที่มากขึ้น รวมถึงต้องการให้ฟุตบอลลีกแดนฟ้าขาวก้าวเข้าสู่ระดับอาชีพอย่างเต็มตัว ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ดิ สเตฟาโน่ ที่ตอนนั้นกำลังดังกับริเวอร์เพลทจึงมีความต้องการที่จะย้ายไปเล่นในลีกต่างแดนที่ก้าวสู่การเป็นลีกอาชีพแล้ว

ในวิกฤตมีโอกาส อัลฟอนโซ่ ซีเนียร์ ประธานของมิโยนาริโอส เล็งเห็นว่าพวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้คว้าตัวนักเตะในลีกอาร์เจนตินามาร่วมทีมได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าตัว จึงคว้าตัว อดอลโฟ่ เปเดอร์เนร่า ยอดกองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา มาจากริเวอร์เพลท เป็นคนแรก ก่อนที่ ดิ สเตฟาโน่ จะตามมาร่วมทีมในภายหลัง กลายเป็นเทรนด์ให้ทีมอื่น ๆ ดำเนินรอยตาม

ข้อตกลงลิม่ายังเป็นเหตุทำให้สโมสรต่าง ๆ ในโคลอมเบียมีโอกาสเดินสายออกทัวร์ต่างแดนอีกครั้ง ซึ่งในปี 1952 มิโยนาริโอส ต้นสังกัดของ ดิ สเตฟาโน่ ในโคลอมเบีย ได้รับเชิญจาก เรอัล มาดริด ให้มาลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ฉลอง 50 ปีของการก่อตั้งสโมสร

โดยเดิมทีทีมที่ทีมราชันชุดขาวต้องการเชิญคือ ริเวอร์เพลท แต่พอ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ประธานสโมสรในเวลานั้นทราบข่าวว่ามิโยนาริโอสกำลังมาแรงจึงตัดสินใจเปลี่ยนทีมที่เชิญมาเป็นมิโยนาริโอส

ในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ดิ สเตฟาโน่ ฉายแสงด้วยการพาทีมถล่มราชันชุดขาวคารังเหย้า นูเอโว เอสตาดิโอ ชามาร์ติน (หรือ เอสตาดิโอ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในปัจจุบัน) ถึง 4-2 จากความสามารถที่โดดเด่น ทำให้ ดิ สเตฟาโน่ เป็นที่สนใจทั้งจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า สองคู่ปรับตลอดกาลแห่งลีกสเปน จนเกิดเป็นศึกชิงตัวที่วุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลในเวลาต่อมา

  • ผู้ปลุกราชัน

การมาของ ดิ สเตฟาโน่ ในวันที่ 22 กันยายน 1953 ถือเป็นการปลุกชีพให้ราชันชุดขาวกลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง โดยดิ สเตฟาโน่ ลงเล่นให้มาดริดเป็นเกมแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1953 ในเกมที่มาดริดเปิดบ้านชนะ ราซิ่ง เด ซานตานเดร์ (Racing de Santander) 4 – 2 และสามารถเบิกสกอร์แรกที่ลงเล่นได้ทันที

จบฤดูกาล 1953-54 ดิ สเตฟาโน่ ทำให้เรอัลมาดริดกลับมาคว้าแชมป์ลา ลีกา เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ เขาจบฤดูกาลนั้นด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกที่ 27 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 28 นัด ความยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นการย้ายทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยก็ว่าได้

  • ตำนานนักเตะสมบูรณ์แบบแห่งยุค

ดิ สเตฟาโน่ นำพาเรอัล มาดริด ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (European Cup) ได้ยาวนานติดต่อกันถึง 5 สมัย (1955-56, 1956-57, 1957-58, 1958-59 และ 1959-60) ซึ่งยังเป็นสถิติที่ยังไม่มีนักเตะคนใดสามารถทำลายได้มาจนถึงปัจจุบัน

ส่งผลให้เขาสามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ 2 สมัยเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ คือในปี 1957 และ 1959

เขาเล่นในยูนิฟอร์มของราชันชุดขาวนานถึง 11 ปี นับตั้งแต่ปี 1953-1964 ช่วยทีมผงาดครองบัลลังก์แชมป์ลา ลีกา ถึง 8 สมัย ลงเล่นไปกว่า 510 เกมกับเรอัล มาดริด ยิงประตูรวมกันได้มากถึง 308 ประตูในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ 396 นัด (49 ประตูจาก 59 นัดในยูโรเปี้ยนคัพ)

กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร จนกระทั่งสถิตินั้นถูกแซงหน้าในอีกหลายทศวรรษต่อมาโดย ราอูล กอนซาเลซ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตามลำดับ

สรุป อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ถือเป็นพ่อมดลูกหนังคนหนึ่งในวงการฟุตบอลโลก เขาเกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1926 ณ เมืองบูโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ลงเล่นให้กับสโมสรริเวอร์เพลท ในบ้านเกิดเป็นที่แรกในปี 1945 ก่อนจะมาโด่งดังสุดขีดในช่วงที่ย้ายมาเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ในลา ลีกา สเปน

ช่วงปี 1953-1964 และสามารถยิงได้ทุกถ้วยทุกรายการไปถึง 307 ประตู จาก 396 เกม และพาทีม “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) ได้ถึง 5 สมัยติดต่อกัน (1955-1959) แถมยังคว้าแชมป์ลีกลา ลีกา ได้อีก 8 สมัย หลังจากเลิกเล่นให้กับมาดริด ดิ สเตฟาโน่ ก็ไปเล่นให้ เอสปันญ่อล อีก 1 ฤดูกาล ก่อนจะแขวนรองเท้า และหันมาเอาดีด้านการเป็นผู้จัดการทีมให้กับทั้งทีมในยุโรปและอเมริกาใต้ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง


ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia

เป็นกำลังใจช่วยแชร์หน่อยค่ะ



ball