โคลพาลเมอร์ เด็กปั้นแมนซิตี้ ที่โชว์ฟอร์มการเล่นอย่างโดดเด่นจน เป๊ป กวาร์ดิโอลา กล่าวชมว่าป็นนักเตะที่ครบเครื่องแบบเดียวกับ ฟิล โฟเด้น โดยพาลเมอร์เล่นให้แมนฯ ซิตี้ชุดใหญ่ทั้งหมด 3 ฤดูกาล ลงสนามทั้งหมด 28 นัดทุกรายการ (รวมการถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรอง) ยิงไป 4 ลูก กับ 1 แอสซิตส์ ซึ่ง 2 ประตูที่ยิงได้นั้นเป็นประตูสำคัญในรายการยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และคอมมูนิตี้ ชิลด์ ช่วงต้นฤดูกาล 2023/2024 อีกด้วย และเชลซี ได้ทำการบรรลุข้อตกลงคว้าตัว โคล พาลเมอร์ แนวรุกดาวรุ่งจากแมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ + แอดออนอีก 5 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญาระยะยาวถึง 7 ปี จนถึง 2030 ถือว่าแนวรุกสารพัดประโยชน์ที่น่าจับตามองที่สุดในวินาทีนี้ ทำความรู้จักกับ ประวัติ โคลพาลเมอร์ แนวรุกดาวรุ่งสารพัดประโยชน์ อดีตเด็กปั้นจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สู่นักเตะอนาคตไกลที่ขาดไม่ได้ของเชลซี
ประวัติ เกลย์สัน เบรเมอร์ ปราการหลังตัวแกร่งยูเวนตูส ที่กำลังเนื้อหอมสุด ๆ
ประวัติ โคลพาลเมอร์ แนวรุกดาวรุ่ง ความหวังใหม่ของเชลซี
ประวัติ โคลพาล เมอร์ เขาเกิดและเติบโตในไวเทนชอว์ ภายในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษซึ่ง เป็นเมืองเดียว มาร์คัส แรชฟอร์ด รุ่นพี่กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยคุณพ่อได้พาพาลเมอร์เริ่มตระเวนคัดตัวกับทีมฟุตบอลอาชีพต่าง ๆ เพื่อส่งลูกชายเข้าสู่อคาเดมี่ โดยฝีเท้าในวัย 8 ขวบของเขาไปเตะตา 2 ยอดทีมเมืองแมนเชสเตอร์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสุดท้ายคุณพ่อก็ตัดสินใจฝากฝังลูกชายให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ดูแล ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกของทีมเรือใบสีฟ้ามีมาตราฐานมากกว่า ทำให้ครอบครัวพาลเมอร์มั่นใจว่าทีมนี้จะปลุกปั้นลูกชายของตนให้เป็นยอดนักเตะได้ และพาลเมอร์ก็ได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของแมนฯ ซิตี้ U-8 สำเร็จ
พาลเมอร์โชว์ฟอร์มกับทีมเยาวชนได้อย่างโดดเด่นในทุกรุ่นอายุ จนเมื่อได้ก้าวขึ้นสู่ทีม U-18 เขาได้รับปลอกแขนกัปตันในฤดูกาล 2019/2020 และในฤดูกาลนั้นเขาโชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่นในรายการพรีเมียร์ลีก U-18 ลงสนาม 14 นัด ยิงประตูไป 15 ลูก และจ่ายไป 5 แอสซิสต์ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับประตูถึง 20 ประตู จาก 56 ประตูที่ทีมทำได้ ช่วยทีมเรือใบสีฟ้าวัยคะนองคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก คัพ ไปอย่างสวยงาม
เมื่อฟอร์มไปเตะตายอดกุนซือของแมนฯ ซิตี้อย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า ทำให้พาลเมอร์ได้รับโอกาสสำคัญ ประเดิมลงสนามลงเป็นตัวจริงแบบเต็มเกมให้กับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2020 ในเกมคาราบาว รอบที่สี่ ในการพบกับเบิร์นลีย์ ซึ่งผลจบลงที่ทัพเรือใบสีฟ้าเอาชนะไปอย่างไม่ยากเย็น 3-0 ซึ่งเป๊ปค่อนข้างประทับใจในฟอร์มการเล่นของเขามาก เนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่สามารถเล่นในแนวรุกได้หลายตำแหน่ง อาทิ แนวรุกริมเส้นทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพลย์เมกเกอร์ กลางตัวอิสระ รวมถึงเล่นเป็นกองหน้าตัวหลอก (False 9) ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ในช่วงตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ 1 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เส้นทางใหม่ของเขาก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อยอดทีมแห่งลอนดอนอย่าง เชลซี ได้ทำการบรรลุข้อตกลงคว้าตัว โคล พาลเมอร์ แนวรุกดาวรุ่งจากแมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ + แอดออนอีก 5 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญาระยะยาวถึง 7 ปี จนถึง 2030
พาลเมอร์เริ่มต้นกับเชลซีด้วยการอยู่ที่ม้านั่งสำรองในช่วงแรก โดยได้ประเดิมสนามนัดแรกในสีเสื้อเชลซี โดยการถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองในแมตช์พรีเมียร์ ลีก ที่เชลซีเปิดบ้านพ่ายให้กับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 และวันที่เขาเริ่มฉายแสงก็เริ่มขึ้นในการออกสตาร์ทตัวจริงในแมตช์พรีเมียร์ ลีก 7 ตุลาคม 2566 ที่เชลซีบุกไปถล่มเบิร์นลีย์คาบ้าน 1-4 โดยเกมนั้น พาลเมอร์ รับหน้าที่สังหารจุดโทษเข้าไปเป็นประตูนำ 1-2 และเป็นประตูแรกในสีเสื้อเชลซีด้วย
เขาปรับตัวให้เขากับทีมของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมยังยึดตำแหน่งตัวจริงของทัพสิงโตน้ำเงินครามทุกนัดหลังจากนั้น จนถึงตอนนี้ พาลเมอร์ลงสนามให้เชลซีรวมทุกรายการ 11 นัด ซัดไป 4 ลูก เป็นจุดโทษทั้งหมด กับ 4 แอสซิสต์ รวมถึงเป็นกำลังหลักสำคัญที่ขาดไม่ได้ของเชลซีไปเสียแล้ว
สรุป อย่างที่รู้กันว่า ประวัติ โคลพาลเมอร์ เป็นนักเตะที่ไม่ธรรมดาเลยจากเด็กปั่นของแมนซิตี้ สู่การเป็นเดอะแบกแห่งเชลซี ถึงจะเป็นฤดูกาลแรกในสีเสื้อเดอะบลูส์ แต่ ‘โคล พาลเมอร์’ แนวรุกดาวรุ่งวัย 21 ปี ที่ย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาอยู่กับเชลซีด้วยค่าตัว 42.5 ล้านปอนด์ สามารถเค้นฟอร์มเก่งช่วยทัพสิงโตน้ำเงินครามในยุคที่เต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งได้อย่างยอดเยี่ยม และก้าวขึ้นมาเป็นแนวรุกที่ทีมขาดไปไม่ได้ในเวลานี้
ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia